“ของดีใช่ว่าจะต้องแพงเสมอไป”
เวลาเราไปซื้อข้าวของอะไรก็ตาม หากเป็นของชนิดเดียวกัน บางคนก็อาจจะเลือกจากราคา บางคนก็อาจจะเลือกจากคุณภาพ ซึ่งจะคิดแบบไหนก็ไม่มีผิดไม่มีถูก เพราะเรื่องแบบนี้มันคุณอยู่กับความพึงพอใจ ของแต่ละคนมากกว่า
ที่เกริ่นเรื่องซื้อของวันนี้ ก็เพราะผมจะมาเล่าถึงการเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ ที่หลายคนก็อาจจะเลือกจากค่าเบี้ยประกันที่ถูกที่สุดเป็นหลัก ในขณะที่บางคนก็อาจจะเลือกจากชื่อเสียงของบริษัทเป็นอันดับแรก ซึ่งก็ไม่มีผิดไม่มีถูกเช่นกันครับ
แต่ถ้าท่านผู้อ่านอยากได้ประกันรถยนต์ที่ดี ในราคาที่เหมาะสม ผมก็มีเทคนิค “5 สิ่งที่ต้องเช็ค ก่อนตัดสินใจทำประกันรถยนต์” มาฝากให้ลองนำไปใช้ ก่อนตัดสินใจทำประกันรถยนต์ครั้งถัดไปกันนะครับ
“ความเสี่ยงจากการใช้รถของเรา”
เพราะการทำประกันก็คือการโอนความเสี่ยง ดังนั้นเราต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของเราเองก่อนว่า เราต้องการโอนความเสี่ยงอะไรออกจากตัวเราไปบ้าง เช่น ถ้าท่านกังวลทุกอย่าง กลัวขับชนเสา เฉี่ยวฟุตบาท แบบนี้ท่านก็ต้องเลือกประกันชั้น 1 เพราะคุ้มครองความเสียหายทุกประเภท แต่ถ้าท่านคิดว่าเหตุการณ์ขับรถชนเสา เฉี่ยวฟุตบาทไม่กลัว ท่านกลัวกรณีขับรถชนรถคันอื่น หรือกลัวรถหาย ไฟไหม้ แบบนี้ประกัน 2+ ก็อาจจะเพียงพอต่อความเสี่ยงที่ต้องการแล้ว ซึ่งถ้าท่านเลือกซื้อประเภทของประกันรถยนต์ได้ตรงกับที่ต้องการแล้ว ก็อาจจะช่วยให้ท่านประหยัดลงได้มากเลยทีเดียว สามารถอ่านเรื่องประเภทของประกันรถยนต์ได้ที่นี่
“ความคุ้มครองที่ได้รับ”
เพราะเบี้ยประกันที่แตกต่างกันบางครั้งอาจจะมาจากความคุ้มครองที่ได้รับ เช่น บางบริษัทเบี้ยประกันอาจจะราคาถูกกว่าแต่ให้ความคุ้มครองเพียงแค่ 80% ของราคารถ ในขณะที่บางบริษัทเบี้ยประกันอาจจะแพงกว่าเล็กน้อย แต่ให้ความคุ้มครองถึง 90% ของราคารถ แบบนี้ก็เปรียบเทียบกันไม่ได้ครับ นอกจากนี้ ความคุ้มครองอื่น ๆ ท่านก็อาจจะต้องลองถามดู เช่น ยางรถยนต์ หากเสียหาย เขาเปลี่ยนยางเส้นใหม่ให้เลยไหม หรือบริษัทตีมูลค่ายางให้ไม่เต็มจำนวนเพราะถือว่าท่านได้ใช้ยางจนสึกหรอไปบ้างแล้ว ซึ่งผมคิดว่าความคุ้มครองแบบนี้ จริง ๆ แล้วมีประโยชน์มากกว่ากรณีความคุ้มครองสูงสุดเสียอีก เพราะ มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงมากกว่ากรณีที่รถหาย หรือรถพังเสียหายทั้งคัน
แม้ว่าจริง ๆ แล้ว เราสามารถเอารถที่ประกันเข้าซ่อมอู่ไหนก็ได้ แต่สิ่งที่ต่างกันเวลานำรถไปซ่อมก็คือ หากเป็นอู่ในเครือของบริษัทประกัน เราสามารถเอารถไปซ่อมได้เลย ไม่ต้องสำรองจ่ายค่าซ่อมใด ๆ แต่ถ้าเป็นอู่ที่อยู่นอกเครือข่ายของบริษัทประกันที่ท่านทำ แบบนี้ท่านก็อาจจะต้องสำรองจ่ายไปก่อน แล้วไปเบิกคืนภายหลัง และอาจต้องยุ่งยากเจรจาเรื่องมูลค่าความเสียหายที่บริษัทจะชดใช้ให้ด้วย ซึ่งถ้าท่านมีอู่ที่ใช้บริการกันเป็นประจำ หรือเห็นอู่ที่อยู่ใกล้บ้าน ก็ลองสอบถามดูก่อนได้ว่า รับประกันของบริษัทไหนบ้าง